เจอดีในห้องไอซียู
เจอดีในห้องไอซียู เราเจอเรื่องนี้ที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่บริเวณของห้องไอซียู เนื่องจากว่าพ่อเราเข้าไปซ่อมเตียงผ่าตัดที่โรงพยาบาลนั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้วตั้งแต่ตอนที่เรายังเรียนอยู่ เราไปกับพ่อสองคนเพราะแม่ให้ไปเป็นเพื่อน พอไปถึงที่โรงพยาบาลพ่อเราก็ไปติดต่อเพื่อเข้าไปซ่อมเตียงในห้องผ่าตัด นั่งรอสักพักก็มีเจ้าหน้าที่พยาบาลพาพ่อกับเราไปใส่เสื้อคลุมฆ่าเชื้อและหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรค แล้วพาไปส่งที่ห้องผ่าตัดห้องข้างในสุดที่พ่อเราต้องไปซ่อมเตียงผ่าตัดที่ห้องนั้น
ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดพ่อเราเปิดประตูทางเข้าห้องทิ้งไว้แล้วก็ลงมือซ่อมเตียงผ่าตัด พ่อเราก็รื้อชิ้นส่วนต่างๆ ของเตียงออกมาจนเหลือแต่แท่นที่มันเสียเพราะมันไม่เคลื่อนตามคำสั่งที่ต้องเหยียบด้วยเท้า ระหว่างที่พ่อเราซ่อมไปนั้นเราก็ช่วยหยิบเครื่องมือบ้าง นั่งเล่นบ้าง เรามองออกไปที่หน้าประตูเห็นคนไข้คนหนึ่งเดินผ่านแล้วก็หยุดหันมองเข้ามาในห้องที่เรานั่งอยู่กับพ่อ ตอนนั้นพ่อเราไม่ได้สนใจอะไรมัวแต่ทำงานไป เราเองก็มองผ่านๆ แล้วคนไข้คนนั้นก็เดินผ่านเข้าไปด้านใน สักพักเรามาฉุกคิดว่าในนี้มันเป็นห้องไอซียู คนไข้จะมาเดินทั่วๆ ไปแบบนี้ไม่น่าจะได้
แถมเดินแบบไม่มีอาการเจ็บปวดตรงไหนอีกต่างหาก เราเดินไปทางหน้าประตูห้อง หันมองดูทางซ้ายและขวา ปรากฏว่าไม่เห็นคนไข้คนนั้นและที่น่าแปลกก็คือ ห้องที่เราอยู่เป็นห้องสุดท้ายถ้าเดินเข้าไปอีกหมายความว่าสุดทาง ตอนที่เราเห็นคนไข้คนนั้นเดินมามองแล้วเดินผ่านไปเรายังไม่ได้ละสายตาไปจากตรงนั้นเลยแล้วคนไข้คนนั้นหายไปได้ยังไง มันเป็นกำแพงสุดทางเดิน ถ้าจะคิดว่าเขาเดินกลับมาก็อาจเป็นได้แต่เรายังไม่ได้มองไปทางอื่นเลย อย่างน้อยถ้าเขาเดินกลับออกมาเราก็น่าจะเห็นบ้าง ตอนนั้นเรามองไปที่พ่อแต่ก็ยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง เราเห็นเราพยายามจะยกตัวที่ครอบแท่นที่เป็นฐานของเตียงขึ้น
แต่ยกยังไงก็ไม่ขึ้น พ่อเราเลยเรียกให้เราไปช่วยยก แต่ยกยังไงก็ไม่ขึ้น คือถ้ายกตัวครอบไม่ออกก็ซ่อมไม่ได้ พ่อโทรตามเพื่อนอีกคนมาช่วยระหว่างรอเพื่อนพ่อมานั้นพ่อเราเลยพาออกมาหาอะไรกิน เราก็นั่งคุยไปเรื่อยจนเล่าเรื่องที่เห็นคนไข้คนหนึ่งเดินผ่านหน้าห้องไปแล้วก่อนเดินผ่านยังหยุดหันมามองในห้องอีก พ่อเราบอกว่าจะเป็นไปได้ยังไงเพราะในพื้นที่ห้องไอซียูจะไม่อนุญาตให้คนไข้หรือใครเข้าไปแบบไม่ได้รับอนุญาต พ่อถามเราว่าลักษณะของคนนั้นเป็นยังไง
เราเลยบอกไปว่าเป็นผู้หญิงมีอายุ ผมสั้นประมาณบ่า แล้วก็ผิวสองสี ตัวเตี้ยแต่ไม่ผอม ออกไปทางอวบๆ หน่อย พ่อเราฟังก็พยักหน้าไป พวกเรารอจนเพื่อนพ่อมาก็กลับเข้าไปในห้องผ่าตัดอีกครั้ง คราวนี้ทั้งเราทั้งเพื่อนพ่อแล้วก็พ่อช่วยกันออกแรงยก แต่ก็ยังไม่สำเร็จหนักมากหนักแบบไม่น่าจะเป็นไปได้ พ่อเราบอกว่าใช้แรงตั้งสามคนยกยังไม่ขึ้นเลยไม่น่าจะได้การแล้วแบบนี้ ว่าแล้วพ่อเราก็โทรศัพท์ไปหาแม่บอกว่าวันนี้อาจจะซ่อมเตียงไม่เสร็จเพราะว่ายังยกแท่นไม่ได้
แม่เราถามนู่นนี่นิดหน่อยแล้วบอกให้ออกไปซื้อพวงมาลัยมาไหว้ขอเจ้าของที่ให้เอามาไหว้เพื่อเป็นการบอกกล่าวขออนุญาตเขา พ่อเราไม่เชื่อเรื่องแบบนี้เลยไม่ได้ทำตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายก็ยอมเชื่อแม่ ออกไปหาซื้อพวงมาลัยเพื่อเอามาไหว้ที่เตียงผ่าตัด แม่เราให้เหตุผลว่าทุกที่มีเจ้าของอยู่ที่ว่าภพไหนภูมิไหน เวลาแม่เราไปนอนโรงพยาบาลทุกครั้งแม่ก็จะเอาพวงมาลัยไปไหว้บอกเจเาของเตียงเหมือนกัน แม่เรามีโรคประจำตัวเยอะ เข้าโรงพยาบาลบ่อย
หลังจากที่พ่อเราไปหาซื้อพวงมาลัยมาวางไว้ตรงเตียงที่รื้อชิ้นส่วนออกแล้วพร้อมอธิษฐานว่าขอให้การซ่อมเตียงผ่าตัดครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ที่มาทำอะไรแบบนี้ไม่ได้มารบกวนต้องการแค่ซ่อมให้เสร็จจะได้มีเตียงใช้ช่วยชีวิตคนต่อไป ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหลังพ่อเราไหว้เสร็จพ่อยกเหล็กที่ครอบแท่นนี้เอาไว้คนเดียวก็ขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้ยกเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น พอตอนนี้ยกได้อย่างง่ายดายมากๆ เรากับเพื่อนพ่อก็แปลกใจเพราะตอนแรกออกแรงเท่าไหร่ก็ดูไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย หลังจากยกที่ครอบออกได้แล้วพ่อเราก็ซ่อมแท่นตรงนั้นไปจนเริ่มมืด พยายามเดินมาถามว่าใกล้จะเสร็จรึยัง
สรุปความได้ว่าพ่อเราต้องเอาอะไหล่มาเปลี่ยนเลยตกลงว่าจะมาทำต่อในวันพรุ่งนี้ ตอนเดินออกมาพ่อเราเลยถามพยาบาลว่า เห็นคนไข้ลักษณะแบบที่เราเล่าให้พ่อฟังเดินเข้ามาดูตอนซ่อมเตียง พยาบาลดูตกใจหลังจากที่พ่อเราเล่าให้ฟังแล้วแกเลยบอกว่าลักษณะคล้ายคนไข้ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเลย ซึ่งเสียชีวิตในห้องที่พ่อเราซ่อมเตียงนั่นแหละ ตอนนั้นเราได้ยินคือเข้าใจเลยว่าคนไข้ที่เราเห็นไม่ใช่คนแล้ว แต่พ่อเราเป็นพวกไม่กลัวผีเลยพูดขำๆ ว่า สงสัยมายืนดูว่าทำดีมั้ย แล้วก็หันมาหัวเราะกับเราแต่เรานี่แทบหัวเราะไม่ออกเลยแหละ ก็เจอจังๆ ขนาดที่ว่าจำรายละเอียดหน้าตาของเขาได้เลย
หลังจากนั้นพ่อก็พาเรากลับบ้านแม่ก็คุยเรื่องที่เอาพวงมาลัยไปไหว้ที่เตียงว่าน่าจะเพราะเหตุนี้เลยทำให้ยกอุปกรณ์ไม่ขึ้นสักที พอวันรุ่งขึ้นพ่อเราต้องไปทำเครื่องต่อที่ห้องไอซียูเดิม แต่เราบอกกับแม่ไปว่าขอไม่ไปด้วยยังหลอนเรื่องคนไข้เมื่อวานที่มายืนมองอยู่เลย แม่เราก็เข้าใจเราเลยไม่ต้องไปกับพ่อในวันรุ่งขึ้น เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์หลอนที่เราได้พบเจอมาเวลาที่ต้องไปทำงานกับพ่อจริงๆ แล้วเราเจอเรื่องแบบนี้ค่อนข้างบ่อยเลยก็ว่าได้ ทั้งที่เจอเองและเจอเวลาที่ต้องเดินทางไปทำงานกับพ่อ มีทั้งเวลาที่ต้องไปต่างจังหวัดแต่ก็ครั้งนี้ถือเป็นการเจอประสบการณ์หลอนในกรุงเทพแบบจังๆ เห็นตัวเป็นๆ เลย แต่ต่อให้เจอหลายครั้งแค่ไหนก็ยังไม่สามารถลดความกลัวของเราลงเลย